วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ภาษาในการสื่อสาร

ในสนามรบ ในพื้นที่สมรภูมิ  ชายชาติทหารผู้นำรบเป็นผู้นำทีมนายทหารออกเดินลาดตระเวร
ผู้นำทีมชูห้านิ้วแล้วยกขึ้นระดับศีรษะเป็นการออกคำสั่งให้นายทหารหยุด

ผู้ส่งสาร      ผู้นำทีมรบ
ผู้รับสาร       นายทหาร
สาร              ชูมือห้านิ้วยกขึ้นระดับศีรษะ
สื่อ               สั่งให้หยุด


ช่างถ่ายภาพในสตูดิโอ  ถ่ายภาพ A,B และ C พร้อมกันเป็นรูปหมู่ ช่างภาพนับ หนึ่ง สอง สามเป็นสัญญาณให้ทั้งสามโพสท์ท่าในกิริยาต่างๆ


ผู้ส่งสาร    ช่างภาพ
ผู้รับสาร     A,Bและ C
สาร             นับหนึ่ง สอง สาม
สื่อ             ให้โพสท์ท่า

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ชีวประวัติ
การศึกษาพิเศษ

การศึกษาพิเศษ

การศึกษาพิเศษในประเทศไทย

การศึกษาพิเศษความหมายโดยทั่วไปแล้วเป็นการจัดการศึกษาสำหรับบุคคล 3 กลุ่ม คือ
<!--[if !supportLists]-->1.     <!--[endif]-->บุคคลที่มีความพิการ
<!--[if !supportLists]-->2.     <!--[endif]-->บุคคลด้อยโอกาส
<!--[if !supportLists]-->3.     <!--[endif]-->บุคคลปัญญาเลิศ
      ในประเทศไทยได้จัดการ
ศึกษาให้กับบุคคลทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเสมอมาแต่ผู้คนโดยส่วนใหญ่ยังคงมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับบุคคลทั้ง 3 กลุ่ม นี้ค่อนข้างจำกัดในบทความนี้จึงใคร่เสนอข้อเท็จจริงพื้นฐานเกี่ยวกับบุคคลทั้ง 3 กลุ่ม ที่กล่าวมาว่าแต่ละกลุ่มลักษณะเฉพาะอย่างไรจึงถูกเรียกว่า
เป็นเด็กพิเศษ ซึ่งต้องได้รับการศึกษาเป็นแบบพิเศษหรือเรียกสั้น ๆ ว่าการศึกษาพิเศษ
1. บุคคลที่มีความพิการหมายถึง   บุคคลได้รับการจดทะเบียนคนพิการตาม
พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ . ศ. 2534    ซึ่งมี 5 ประเภท   ดังต่อไปนี้
   -   บุคคลพิการทางการเห็น
   -   บุคคลพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย
   -   บุคคลพิการทางกายหรือการเคลื่อนไหว
   -   บุคคลพิการทางจิตและพฤติกรรม
    -   บุคคลพิการทางสติปัญญาและการเรียนรู้
นอกจากบุคคลพิการ 5 ประเภทดังกล่าวแล้วกระทรวงศึกษาธิการยังได้จำแนกความพิการหรือความบกพร่องเพื่อจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษและศักยภาพของคนพิการให้บังเกิดผลในการพัฒนาอย่างแท้จริง    เป็น 9 ประเภท   ดังนี้ (รายละเอียดศึกษาเพิ่มเติมในหัวข้อเฉพาะแต่ละประเภทความพิการ)
   -  บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น
   -  บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
   -  บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
   -  บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือสุขภาพ
   -  บุคคลที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
   -  บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูด และภาษา
   -  บุคคลที่มีปัญหาทางพฤติกรรม หรืออารมณ์
   - บุคคลออทิสติก
   -  บุคคลพิการซ้อน
 ซึ่งสรุปรวมแล้วหมายถึงคนที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ทั้งหมดหรือบางส่วนที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตอยู่อย่างปกติหรือการใช้ชีวิตในสังคม อันมีผลมาจากความบกพร่องทางร่างกายสติปัญญาหรือจิตใจไม่ว่าจะเป็นมาแต่กำเนิดหรือไม่ก็ตาม
( กระทรวงศึกษาธิการ, 2546:2)
 การจัดการศึกษาสำหรับบุคคล/ เด็กพิการ การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลหรือเด็กพิการในประเทศไทย เริ่มเมื่อปี พ. ศ. 2484โดยจัดในรูปแบบของโรงเรียนเฉพาะความพิการกระทรวงศึกษาธิการได้พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาสำหรับบุคคลกลุ่มนี้มาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพความ ต้องการพิเศษและสภาพเศรษฐกิจ สังคมของประเทศ     ปัจจุบันนี้การจัดการศึกษาสำหรับ
คนพิการในประเทศไทยดำเนินการในหลายรูปแบบดังนี้
1. ศูนย์การศึกษาพิเศษ เป็นศูนย์บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention)ฟื้นฟู เตรียมความพร้อมเด็กพิการทุกประเภทเพื่อการส่งต่อไปยังโรงเรียนหรือสถานบริการที่เหมาะสมกับเด็กอีกทั้งบริการวิชาการบริการและความช่วยเหลืออื่นๆซึ่งมีศูนย์การศึกษาพิเศษเขตการศึกษาจำนวน 13 แห่งศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดจำนวน 63 แห่งครบทุกจังหวัดทั่วประเทศและมีศูนย์การศึกษาพิเศษของมหาวิทยาลัยราชภัฏอีก 6 แห่งอยู่ในภูมิภาคต่างๆ
 2. โรงเรียนศึกษาพิเศษเฉพาะความพิการ เป็นโรงเรียนสำหรับบริการแก่เด็กพิการค่อนข้างรุนแรงไม่สามารถไปเรียนกับเด็กทั่วไปได้ซึ่งมีโรงเรียนศึกษาพิเศษเฉพาะความพิการของรัฐจำนวน 43 แห่ง( โรงเรียนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินจำนวน 20 แห่งโรงเรียนสำหรับเด็กบกพร่องทางสติปัญญาจำนวน 19 แห่งโรงเรียนสำหรับเด็กบกพร่องทางร่างกายหรือสุขภาพจำนวน  2  แห่ง และโรงเรียนสอนคนตาบอด 2 แห่ง )นอกจากนั้นยังมีสถานศึกษาของเอกชนให้บริการอีกมากกว่า10  แห่ง
 3. โรงเรียนจัดการเรียนร่วม เป็นโรงเรียนปกติทั่วไปในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา   ที่จัดให้เด็กพิการมีโอกาสเรียนร่วมกับเด็กทั่วไป ซึ่งได้ดำเนินมาหลายปีแล้วและพัฒนาให้เป็นรูปแบบมากยิ่งขึ้นภายใต้โครงการโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งตั้งแต่ปีการศึกษา 2547   จำนวน 390 โรงเรียนปีการศึกษา 2548 จำนวน 2,000 โรงเรียนซึ่งมีแนวโน้มจำดำเนินการให้มีโรงเรียนจัดการเรียนร่วมที่เข้มแข็งให้ครบทุกตำบลเพื่อบริการทางการศึกษาสำหรับคนพิการให้ทั่วและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
4. การศึกษานอกระบบเพื่อคนพิการมีหลักสูตรสายสามัญเรียนร่วม โดยศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนทุกจังหวัดเปิดสอนและหลักสูตรสายอาชีพนอกจากนั้นยังมีสมาคมมูลนิธิหน่วยงานเอกชนเข้าร่วมจัดหรืออาสาสมัครไปสอนที่บ้านสำหรับผู้พิการที่ไม่สามารถเดินทางไปเรียนได้
 5. การอาชีวะศึกษา สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ฯลฯ ก็จัดให้คนพิการได้เลือกเรียนร่วมกับคนทั่วไปตามสาขาที่ตนสนใจอย่างกว้างขวาง
6. การอุดมศึกษา สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน             จัดให้บริการการศึกษาในระดับอุดมศึกษาทั้งแบบเฉพาะความพิการที่วิทยาลัยราชสุดา( มหาวิทยาลัยมหิดล)และแบบเรียนร่วมในหลายสถาบันอย่างกว้างขวางทั่วทุกภูมิภาคในประเทศ
2. บุคคลผู้ด้อยโอกาสในที่นี้หมายถึง เด็กด้อยโอกาส ( อายุต่ำกว่า 18 ปี)ที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก ซึ่งมีชีวิตความเป็นอยู่ด้อยกว่าเด็กปกติทั่วไปเนื่องจากเป็นผู้ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจปัญหาทางสังคมหรือปัญหาอื่น ๆ จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษเพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมีพัฒนาที่ถูกต้องเหมาะสมกับวัยและสามารถบรรลุถึงศักยภาพสูงสุดได้ซึ่งจำแนกได้ 10 ประเภท   ดังนี้
    - เด็กถูกบังคับให้ขายแรงงานหรือแรงงานเด็ก เด็กเร่ร่อน
    - เด็กที่อยู่ในธุรกิจทางเพศหรือโสเภณีเด็ก เด็กที่ถูกทอดทิ้ง / เด็กกำพร้า
    - เด็กที่ถูกทำร้ายทารุณ เด็กยากจน ( มากเป็นพิเศษ) เด็กในชนกลุ่มน้อย
    - เด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติด
    - เด็กที่ได้รับผลกระทบจากโรคเอดส์หรือโรคติดต่อร้ายแรงที่สังคมรังเกียจ
    - เด็กในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
 การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลด้อยโอกาส
การจัดการศึกษาให้บุคคลกลุ่มนี้ได้จัดในโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์และโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ตั้งแต่ราชประชานุเคราะห์ 19 เป็นต้นไป จำนวนทั้งสิ้น 49 โรงเรียนสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคในประเทศ
3. บุคคลปัญญาเลิศ  ความหมายโดยรวมหมายถึง บุคคลที่มีความสามารถสูงทางวิชาการมีความจำเป็นเลิศช่างซักช่างถามมีความคิดอ่านลึกซึ้งสุขุมรู้จักแก้ปัญหารู้จักยืดหยุ่นมีอารมณ์ขันมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีความสนใจหลากหลาย  รู้จักใฝ่หาความรู้ด้วยตนเองมีสมาธิมั่นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ตนสนใจมีความถนัดด้านใดด้านหนึ่งเป็นเลิศอย่างเด่นชัด ( เช่น งานฝีมือ กีฬาบางอย่าง ความสามารถในการร้องเพลงเล่นดนตรี)หรือบางคนอาจมีความถนัดเป็นเลิศหลายด้านมีความสามารถด้านประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัสเป็นอย่างดี (ศรีเรือน  แก้วกังวาน.;2545:119)         
การจัดการศึกษาบุคคลหรือเด็กปัญญาเลิศ   ในประเทศไทยยังไม่ปรากฏชัดเจนว่าได้จัดการศึกษาเป็นโรงเรียนเฉพาะสำหรับเด็กกลุ่มนี้   แต่ในความเป็นจริงอาจมีเด็กกลุ่มนี้ ปะปนในเด็กปกติทั่วไปเป็นจำนวนไม่น้อยการจัดการศึกษาสำหรับเด็กกลุ่มนี้จึงจำเป็นต้องจัดให้มีลักษณะพิเศษซึ่งแตกต่างทั้งเนื้อหาและวิธีการสอน หรือให้ท้าทายความคิด ซึ่ง      ศ . ศรียา    นิยมธรรม   ได้เสนอแนะวิธีการจัดการเรียนการสอนให้เด็กกลุ่มนี้ไว้หลายรูปแบบ   ดังนี้
   1. การจัดชั้นพิเศษ ให้สอดคล้องกับความสนใจและความสามารถของเด็ก
   2. การสอนเร่ง  เป็นการเรียนหลักสูตรปกติในเวลาที่น้อยลงเช่นการเรียนข้ามชั้น ควบชั้น  เป็นต้น
   3. การสอนเพิ่ม  เป็นการเสริมความรู้และประสบการณ์ของเด็กให้กว้างขวาง และ ลึกซึ้งมากขึ้นนอกเหนือจากกิจกรรมในชั้นเรียนและ/ หรือให้โอกาสได้ฝึกฝน เล่าเรียนในแขนงวิชาที่เด็กมีความถนัดเป็นพิเศษ


เอกสารอ้างอิง
        กระทรวงศึกษาธิการ. ประกาศคณะกรรมการพิจารราให้คนพิการได้รับสิทธิช่วยเหลือทาง การศึกษาเรื่องกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ การรับรองบุคคลของสถานศึกษาว่า เป็นคนพิการ พ . ศ. 2548. คณะกรรมการพิจารณาให้คนพิการได้รับสิทธิช่วยเหลือ ทางการศึกษา , 2548.กระทรวงศึกษาธิการ. การประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อคนพิการ ปีการศึกษาเพื่อคนพิการ. คณะกรรมการประเมินผลทางการศึกษาเพื่อคนพิการ,2543. เขตพื้นที่การศึกษาสมุทรสาคร , สำนักงาน. รวบรวมบทความ ระเบียบ และกฎหมายที่ เกี่ยวข้องกับด้านการศึกษาพิเศษ . หจก. รุ่งเรืองออฟเซท, 2548.
ศรีเรือน แก้วกังวาล . จิตวิทยาเด็กที่มีลักษณะพิเศษ, สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน,2545. ศรียา นิยมธรรม . เด็กที่มีความต้องการพิเศษในโรงเรียนปกติ. วารสารการศึกษาปฐมวัย ปีที่ ฉบับที่ 2, 2541
การศึกษาพิเศษในฟิลิปปินส์
          ปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์ในระดับประถมศึกษาที่สำคัญในโปรแกรมการศึกษาพิเศษ (Beed-SPED) ถูกออกแบบมาเพื่อให้นักศึกษามีความรู้และทักษะในการดูแลให้การศึกษาความต้องการของเด็กพิเศษโปรแกรมมุ่งเน้นการให้นักเรียนมีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับจิตวิทยาของเด็กพิเศษวิธีการเรียนการสอนที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพและกลยุทธ์ที่มีการใช้วัสดุการเรียนรู้ที่เหมาะสมต้องการรับสมัครสำหรับ Beedในการศึกษาพิเศษฟิลิปปินส์ต้องมีคำแนะนำจากครูใหญ่โรงเรียนสูงและให้คำปรึกษาแนะนำต้องมีสำเนาต้นฉบับของบัตรโรงเรียนมัธยม (138aแบบฟอร์ม)ต้องมีการบันทึกสุขภาพล่าสุดทางการแพทย์และทันตกรรม ต้องใช้เวลาและผ่านสอบเข้าวิทยาลัย ต้องมีสำเนาของสำนักงานสถิติแห่งชาติได้รับการรับรองสูติบัตร ต้องมีใบรับรองของตัวละครคุณธรรมที่ดี ต้องมีสำเนาประกาศนียบัตรโรงเรียนมัธยม หนึ่ง 2 "x 2" คัดลอกของภาพล่าสุด ระยะเวลาของการ Beedในโปรแกรมการศึกษาพิเศษในฟิลิปปินส์ BS ประถมศึกษาที่สำคัญในโปรแกรมการศึกษาพิเศษใช้เวลา 4 ปีให้เสร็จสมบูรณ์ การฝึกอบรมในงานหรือการฝึกงานจะทำในปีที่สามและสี่ของโปรแกรมที่นักเรียนจะได้สัมผัสกับทั้งในมหาวิทยาลัยและการเรียนการสอนออกมหาวิทยาลัย การฝึกงานจะมีอายุการใช้งานอย่างน้อย 1 เดือนทุกปี วิชาที่รวมอยู่ใน Beedในโปรแกรมการศึกษาพิเศษศิลปะการเคลื่อนไหวและดนตรีสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพกับอาชีพและครอบครัวทางร่างกายและจิตใจแนวทางความรู้ สังคมวิทยากับการวางแผนครอบครัวประสบการการเรียนการสอนการประเมินผลของเด็กที่มีความต้องการพิเศษการพัฒนาผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมPagbasaที่ PagsulatTungo SA Pananaliksik จิตวิทยาเด็กที่มีความต้องการพิเศษ Komunikasyonฟิลิปปินส์ SA Akademikongเทคโนโลยีในการเรียนรู้สิ่งแวดล้อม รู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปรัชญาและตรรกะเด็กวัยรุ่นและพัฒนาการพูดและการสื่อสารในช่องปากมิติทางสังคมของการศึกษาเรียนรู้กลยุทธ์การประเมินผลความรู้พื้นฐานวิชาคณิตศาสตร์วรรณกรรมฟิลิปปินส์ในภาษาอังกฤษการจัดการชั้นเรียน SPEDเรียนการสอนนักเรียนชั้นประถมศึกษาหลายMasiningnaPamamahayagศึกษาเด็กสังเกตการพัฒนาหลักสูตรสำรวจหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาชีพพัฒนาการอ่านการจัดการพฤติกรรมชีวิตและผลงานของซัล หลักการของการสอนทักษะการสื่อสาร สถิติการศึกษา อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ รู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ SPED หลักสูตรสำหรับ SPEDจิตวิทยาทั่วไป วิทยาศาสตร์ชีวภาพศึกษารวมกีฬาและเกมศิลปนิยมโลกวรรณกรรมสันติศึกษาเทคโนโลยีการศึกษาวิทยาศาสตร์โลกการประเมินผลการศึกษาภาคสนามไอซีทีขั้นพื้นฐาน
การตรวจสอบใบอนุญาตที่จำเป็นในการปฏิบัติเพื่อที่จะเป็นครูประถมศึกษาพิเศษในฟิลิปปินส์
      จบการศึกษาจาก Beedในการศึกษาพิเศษต้องผ่านการตรวจสอบใบอนุญาตสำหรับครูเพื่อเป็นครูฝึกในประเทศฟิลิปปินส์ การตรวจสอบจะได้รับตามที่คณะกรรมการของครูมืออาชีพภายใต้การกำกับดูแลของมืออาชีพระเบียบ Commission (PRC)
ข้อกำหนดสำหรับการตรวจสอบใบอนุญาตสำหรับครู
       ต้องเป็นผู้ถือการศึกษาระดับปริญญาใน Beedที่สำคัญในการศึกษาพิเศษที่มีเครดิตทางวิชาการในเรื่องที่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัยโดยรัฐบาลฟิลิปปินส์ต้องมีสำเนาใบรับรองผลกับคำสั่งพิเศษและวันที่ของการสำเร็จการศึกษากับคำพูดของ "คณะกรรมการตรวจวัตถุประสงค์เฉพาะ"ไม่ต้องมีกรณีใด ๆ ที่ยื่นหรือรอการเลวทรามต่ำช้าคุณธรรมในศาลใด ๆ ในฟิลิปปินส์ที่เกี่ยวข้องกับคุณธรรมเลวทรามต่ำช้าต้องมีสำเนาต้นฉบับของใบรับรองภาษีชุมชน (cedula) ต้องมีสำเนาสูติบัตรของสำนักงานสถิติแห่งชาติรับรองความถูกต้อง ต้องมีสุขภาพที่ดีและจิตใจเสียงต้องมีศีลธรรมอันดี จะต้องเป็นพลเมืองของประเทศฟิลิปปินส์ โอกาสในการทำงานสำหรับผู้จบการศึกษาจาก Beedในการศึกษาพิเศษในฟิลิปปินส์
ครู SPED
SPED Facilitator / ลำโพง
หัวหน้างานบำรุงกลางวัน
ที่ปรึกษาด้านวัสดุการเรียนการสอน
พัฒนาวัสดุการเรียนการสอน
นักวิจัย SPED
เทรนเนอร์สัมมนา
เขียนตำรา
เขียนโมดูล
นักวิจัย
หลัก
ความคิดเห็นของผู้สำเร็จการศึกษา Beedในการศึกษาพิเศษ:
อ่านต่อ >>ความคิดเห็น
JamilAurene
BSEEdศึกษาในการศึกษาพิเศษ
ซาเวียร์มหาวิทยาลัย Cagayan de Oro
จบการศึกษา: 2007
เกี่ยวกับการศึกษาที่วิทยาลัยของฉัน:
ผมเป็นคนแรกที่ลังเลในการเลือกการศึกษาพิเศษเป็นหลักของฉันตั้งแต่มันจะเป็นความท้าทายมากขึ้นกว่าการศึกษาปกติ แต่ฉันต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเด็กพิเศษและกระบวนการของการเรียนรู้และผมจึงต้องใช้ความท้าทายและดีใจที่ฉันไม่ ตลอดระยะเวลาที่ผมยังไม่ได้เรียนรู้เพียงพิเศษที่แตกต่างกันของเด็ก แต่ฉันได้เรียนรู้ที่จะรักพวกเขาเช่นกัน ในบางกรณีเช่นหูหนวก / ใบ้เป็นเรื่องยากตั้งแต่เราจำเป็นต้องเริ่มต้นจากรอยขีดข่วนที่จะเรียนรู้วิธีการสื่อสารและสอนพวกเขา แต่โดยรวมชั้นเรียนที่สำคัญของเราเป็นเรื่องที่ดีที่สุดตลอดหลักสูตร
หลักสูตรที่เกี่ยวข้อง
Beedในการศึกษาปฐมวัย BS ในด้านการศึกษาBS ในบัญชีที่สำคัญในโครงการปริญญาพิเศษBS ในครุศาสตร์อุตสาหกรรมที่สำคัญในหลักสูตรการค้าเฉพาะBS ในด้านจิตวิทยาที่สำคัญในเด็กพิเศษBS ในการศึกษาพิเศษBS ในการศึกษาพิเศษที่สำคัญในการเรียนการสอนมีพรสวรรค์
BS ในการศึกษาพิเศษที่สำคัญในการเรียนการสอนปัญญาอ่อน
กาศึกษาพิเศษในประเทศกัมพูชา
         สอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษเป็นจุดสำคัญของโครงการนี้ในประเทศกัมพูชา นักกายภาพบำบัดและนักกิจกรรมบำบัดนักบำบัดศิลปะที่มีความจำเป็นเพื่อสนับสนุนเด็กพิการเหล่านี้และทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น อาสาสมัครปี Gap ยังมีความจำเป็นเพื่อช่วยให้เด็กในโรงเรียนนี้การดูแลเอาใจใส่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับเด็กความต้องการพิเศษ
คำอธิบายของโครงการ
มันเป็นเพียงในปีที่ผ่านมาว่าส่วนใหญ่ของเด็กได้รับการศึกษาในประเทศกัมพูชา แต่เด็ก: อัตราส่วนพนักงานยังคงมีประมาณ 90 คนต่อครู ที่ให้ความสำคัญในการลดตัวเลขนี้มากกว่าที่จะมุ่งเน้นไปที่ความต้องการการศึกษาพิเศษ โรงเรียนนี้มีความต้องการพิเศษ แต่เป็นดี, ห้องกว้างขวางใกล้กับ Outreach นานาชาติบ้านในพื้นที่ที่เงียบสงบของกรุงพนมเปญ
มีกว่า 130 คนพิการเด็กอายุ 4-25 ปีที่มีความหมกหมุ่น, อัมพาตสมองความผิดปกติทางด้านจิตใจและความพิการอื่น ๆ โรงเรียนได้รับการสนับสนุนโดยนักกายภาพบำบัด, ศิลปะบำบัด, อาชีพแพทย์, 23 ครูเขมรและอาสาสมัครที่มีช่วงของทักษะ ผู้อำนวยการพูดภาษาอังกฤษที่สมบูรณ์แบบและการทำงานที่ยอดเยี่ยมโครงการที่เป็นมิตร เขาจะยินดีต้อนรับอาสาสมัครที่แท้จริงต้องการให้การสนับสนุนเด็ก ๆ เหล่านี้มีความต้องการพิเศษในประเทศกัมพูชา
ที่พัก / อาหาร / ภาษา / ระยะเวลาปิด
ความต้องการพิเศษโรงเรียนอยู่ใกล้กับโครงการอาสาสมัครนานาชาติบ้าน คุณจะมีบางส่วนของมื้ออาหารของคุณกับเจ้าหน้าที่และในตอนเย็นกับอีกโครงการอาสาสมัครนานาชาติ โรงเรียนที่เป็นภาคกลางของชุมชนท้องถิ่นและคุณจะรู้สึกได้ทันทีส่วนหนึ่งของนี้
อาสาสมัครจะได้รับครอบคลุมหลักสูตรภาษาเขมรและวางแนวทางในพนมเปญก่อนที่จะเริ่มโครงการ
DigitalDivideData
DigitalDivideData ให้โอกาสอย่างยั่งยืนสำหรับผู้ด้อยโอกาสในประเทศกัมพูชาโดยการให้ความรู้คนให้งานและนำเงินทุนเข้ามาในประเทศ ภายใต้สิทธิพิเศษและชนบทชาวกัมพูชาเช่นเหมืองที่ดินและผู้ที่ตกเป็นเหยื่อโรคโปลิโอจะกลายเป็นอำนาจโดยทำตามอย่างฉากที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการสร้างงานโปรแกรมเริ่มต้นด้วยการฝึกอบรมคอมพิวเตอร์และการจ้างงานการป้อนข้อมูล ความคิดคือการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนที่สามารถ reinvest กำไรเพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากขึ้นในขณะที่ให้การศึกษาการสร้างรายได้และความเชื่อมั่นที่ต้องการให้พนักงานตระหนักถึงอนาคตที่ดีกว่า ในเดือนมิถุนายนปี 2001 สำนักงานถูกเปิดในพนมเปญดำเนินการโดยผู้จัดการกัมพูชาท้องถิ่น ในขณะที่ DigitalDivideData ได้รับเงินด้วยตนเองตั้งแต่ฤดูหนาวปี 2002 เงินทุนเพิ่มเติมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการขยายตัวของอาคารกำลังการผลิตและการตลาดเพื่อให้แน่ใจว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว
การศึกษาพิเศษในประเทศอินโดนีเซีย
เมืองหลวงของอินโดนีเซียและเมืองที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ แม้
แม้ว่าอินโดนีเซียเป็นบ้านมากกว่า 100 กลุ่มชาติพันธุ์ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่เป็นสาวกของศาสนาอิสลาม
ศาสนาผสมกับวัฒนธรรมมลายู (มาเลย์) ภาษาประจำชาติเป็นภาษาอินโดนีเซีย แต่มี 200 แคว้นภาษาที่แตกต่างกัน โซนเวลาอินโดนีเซียแบ่งออกเป็น 3 พื้นที่ที่แตกต่างกันทางทิศตะวันตกอินโดนีเซียเวลาเวลากลางอินโดนีเซียและเวลาตะวันออกอินโดนีเซีย  อินโดนีเซียประกาศความเป็นอิสระของพวกเขาใน 17 สิงหาคม 1945 เป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีซูการ์โน
ที่รู้จักกันว่าเป็นบิดาของประเทศ ตอนนี้อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยซึ่งเป็น ควบคุมโดยระบบประธานาธิบดี
II การศึกษาในประเทศอินโดนีเซีย
2.1 กฎหมายพื้นฐานของการศึกษา
1 บทความอินโดนีเซียรัฐธรรมนูญ 31"พลเมืองใดจะมีสิทธิในการศึกษาและการเรียนรู้"
2 จำนวนกฎหมาย 20 ของปี 2003 เมื่อระบบการศึกษาแห่งชาติ:มาตรา 5 (1): พลเมืองใดมีสิทธิเดียวกันกับการศึกษาที่ดี
3 จำนวนกฎหมาย 23 จากปี 2002 บทความคุ้มครองเด็ก 48 และ 49
2.2 ประวัติความเป็นมา
ก่อนที่จะเป็นอิสระไม่อินโดนีเซียทุกคนมีสิทธิที่เหมือนกันสำหรับการศึกษาและการเรียนรู้ ในยุคอาณานิคมการศึกษาในประเทศอินโดนีเซียได้รับการออกแบบส่วนใหญ่เพื่อเตรียมความพร้อมเด็กดัตช์และเด็กของชนชั้นพื้นเมืองที่ให้ความสนใจในอาณานิคมของรัฐบาล หลังจากที่ความเป็นอิสระของอินโดนีเซีย, ใหม่รัฐบาลพยายามที่จะพัฒนาระบบการศึกษา แต่ถูกขัดขวางโดยขาดเงินทุน ประเทศอินโดนีเซียรัฐบาลเริ่มส่งเสริมการศึกษาระดับประถมศึกษาในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ซึ่งกินเวลานานถึงหกปีใน  2 ว่าเวลา ตั้งแต่ปี 1990 การศึกษาภาคบังคับรวมถึงโรงเรียนประถมและโรงเรียนสามปีของจูเนียร์
โรงเรียนมัธยม อีกสามปีของโรงเรียนมัธยมความสมัครใจตามที่กระทรวงการศึกษาแห่งชาติ (2004) ในโรงเรียนปี 2000 28,700,000อินโดนีเซียเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา: เกี่ยวกับร้อยละ 82 ของสาว ๆ และร้อยละ 97 ของชาย ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่สี่ โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาจะเข้าร่วมโดยร้อยละ 58 ของสาว ๆ วัยเรียนและ 58เปอร์เซ็นต์ของเด็กผู้ชายในวัยเรียน ในช่วงกลางปี​​ 1990 บาง 1.6 ล้านนักเรียนอินโดนีเซียเข้าร่วม สถาบันอาชีวศึกษา การเข้าร่วมประชุมโรงเรียนสูงในหมู่เด็ก ๆ สะท้อนให้เห็นถึงค่าของส่วนใหญ่ อนุลักษณ์, สังคมชนบทแม้ว่าช่องว่างในการเรียนการสอนระหว่างเด็กชายและเด็กหญิงได้เริ่มที่จะ แคบ ในปี 2005 บางส่วนร้อยละ 86 ของเพศหญิงและอินโดนีเซียร้อยละ 94 ของเพศหญิงอายุการศึกษา วิกฤตเศรษฐกิจปลายปี 1990 ที่เกิดจากเด็กบางคนที่จะถอนตัวชั่วคราวจากโรงเรียน เพราะครอบครัวของพวกเขาไม่สามารถที่จะจ่ายค่าเล่าเรียน
2.3 ระดับการศึกษา
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการแห่งชาติมีสี่ระดับของการศึกษาในประเทศอินโดนีเซียมีดังนี้
1 ศึกษาก่อนวัยเรียน
การศึกษาก่อนวัยเรียนมีวัตถุประสงค์ที่จะกระตุ้นการเจริญเติบโตทางร่างกายและจิตใจของนักเรียนนอกวงกลมครอบครัวก่อนที่จะเข้าศึกษาระดับประถมศึกษา วัตถุประสงค์ของการศึกษาก่อนวัยเรียนคือเพื่อให้เป็นพื้นฐานเริ่มต้นสำหรับการเจริญเติบโตและการพัฒนาของทัศนคติความรู้ทักษะและความคิดริเริ่ม ในประเภทของการศึกษาก่อนวัยเรียนที่โรงเรียนอนุบาลและเล่นกลุ่ม โรงเรียนอนุบาลเป็นส่วนหนึ่งของระบบการศึกษาในโรงเรียนตามในขณะที่กลุ่มผู้เล่น
เป็นส่วนหนึ่งของระบบออกจากโรงเรียน ก่อนวัยเรียนให้กับเด็ก 4-6 ปี เก่า 1-2 ปีระยะเวลาของการศึกษาในขณะที่กลุ่มผู้เล่นจะเข้าร่วมโดยเด็ก3 ปีและต่ำกว่า
2 การศึกษาขั้นพื้นฐาน
การศึกษาขั้นพื้นฐานอยู่ในหลักการทั่วไปของการศึกษาเก้าปีประกอบด้วยหกปีที่ผ่านมา
การศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษาและสามปีของการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เป้าหมายของขั้นพื้นฐาน
การศึกษาคือการให้นักเรียนมีทักษะพื้นฐานในการพัฒนาตัวเองเป็นบุคคลสมาชิกของประชาชนสังคมและสมาชิกของมนุษย์เช่นเดียวกับที่พวกเขาเตรียมที่จะไล่ตาม
การศึกษาของพวกเขาในการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นจัดระเบียบ 3 ปี
โปรแกรมการศึกษาหลังจากที่โรงเรียนปีหกหลัก
3 มัธยมศึกษา
มัธยมศึกษาสามารถใช้ได้กับผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนประถม มัธยมศึกษาให้ ความสำคัญกับการเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนและการเตรียมความพร้อมให้พวกเขาต่อการศึกษาของพวกเขาให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นของการศึกษาหรือเตรียมความพร้อมของนักเรียนเข้าสู่โลกของการทำงานและขยายทัศนคติมืออาชีพของพวกเขา ความยาวของรองการศึกษาเป็นเวลาสามปีสำหรับการศึกษาระดับมัธยมทั่วไป
4 อุดมศึกษา
การศึกษาระดับอุดมศึกษาเป็นส่วนขยายของการศึกษาระดับมัธยมที่ประกอบด้วยนักวิชาการและอาชีพการศึกษา, การศึกษาวิชาการมีวัตถุประสงค์หลักที่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์,เทคโนโลยีและการวิจัยในขณะที่อาชีพการศึกษานี้มีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนามากขึ้นทักษะการปฏิบัติ สถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องในระดับอุดมศึกษาเป็นประเภทต่อไปนี้:นักวิชาการโพลีเทคนิคในโรงเรียนการศึกษาระดับสูงสถาบันและมหาวิทยาลัย


III การศึกษาพิเศษในประเทศอินโดนีเซีย
(ชิ้นส่วนเหล่านี้ตามรายงานที่ได้นำเสนอในญี่ปุ่นธันวาคม 2006)
3.1 กฎหมายพื้นฐานของการศึกษาพิเศษ
1 จำนวนกฎหมาย 20 ของปี 2003 เมื่อระบบการศึกษาแห่งชาติ มาตรา 5 (2): ประชาชนกับร่างกายอารมณ์จิตใจปัญญาและ / หรือสังคมความพิการมีสิทธิที่จะการศึกษาพิเศษ มาตรา 5 (3): ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลให้มีการศึกษาสำหรับการให้บริการการศึกษาพิเศษ มาตรา 5 (4): ประชาชนที่มีของขวัญที่มีศักยภาพและความสามารถพิเศษมีสิทธิสำหรับ
การศึกษาพิเศษ2 จำนวนกฎหมาย 4 จาก 1,997 เกี่ยวกับคนพิการ
3 บันดุงปฏิญญา (2004): สู่ศึกษารวม
4 บูกิตติงกี้ประกาศ (2005): การรวมและการกำจัดของปัญหาและอุปสรรคต่อการเรียนรู้การมีส่วนร่วม,
การพัฒนาและการ
สภาพการศึกษาพิเศษ  จากประชากรทั้งหมดมีประมาณ 1,480,000 คนแบ่งเป็นปิดการใช้งานของมีซึ่ง 21.42% เป็นเด็กวัยเรียน (5-18 ปี) แต่มีเพียง 25% หรือ 79.061 เด็กเข้าเรียนในโรงเรียนพิเศษ (การสำรวจสำมะโนประชากรแห่งชาติ, 2003) ทั้งหมดโรงเรียนพิเศษที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนเสร็จสิ้นปีที่ 9 ระบบการศึกษาภาคบังคับ ตามรายงานของประเทศในด้านการศึกษา (2004),จำนวนนักเรียนพิเศษประกอบด้วยการด้อยค่าการได้ยิน 45% บกพร่องทางการมองเห็น 30%, 13%ความพิการทางปัญญาอ่อน, 3% ความพิการทางปัญญาปานกลาง 3% ความพิการทางร่างกายปานกลาง, 3%ความพิการหลายปัญหาพฤติกรรม 2%, 1% และพิการทางร่างกายอ่อนโรงเรียนพิเศษเป็นครั้งแรกที่โรงเรียนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสายตาในบันดุง, ตะวันตกJava ก่อตั้งขึ้นในปี 1901 ในปี 1927 โรงเรียนอื่นก็เปิดสำหรับโรงเรียนที่มีการพัฒนา
ความพิการ หลังจากนั้นตั้งแต่นั้นมาความเป็นอิสระของประเทศอินโดนีเซียในปี 1945 โรงเรียนพิเศษอื่น ๆ สำหรับเด็ก
กับความต้องการพิเศษอื่น ๆ ถูกจัดตั้งขึ้น ในปี 2000 รัฐบาลพัฒนาพิเศษการศึกษาโดยการขยายส่วนตำบลเป็นผู้อำนวยการของการศึกษาพิเศษต่อมาในปี 2006คณะกรรมการที่เปลี่ยนมาเป็